ผลการตัดสินคดี การตรวจยึด จับกุม ซากเสือ ๑๑ ตัว ที่นครพนม พ.ศ. ๒๕๕๑
เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2551 เวลา 00.15 น. เจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข) สถานีเรือธาตุพนม เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่านครพนม และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เจ้าหน้าที่กองร้อย ตชด. ที่235 นครพนม ได้ตรวจยึดจับกุม รถกระบะ 2 คัน ซึ่งบรรทุกของกลางเป็นซากเสือโคร่งน้ำหนักรวม 1,080 กิโลกรัม เสือดาวหรือเสือดำ 3 ตัว เสือลายเมฆ 2 ตัว และนิ่มมีชีวิต 275 ตัว นำส่ง สภ.ธาตุพนม จ.นครพนม ผู้ต้องหาหลบหนี ซึ่งด่านตรวจสัตว์ป่านครพนม กองคุ้มครองสัตว์ป่า และพืชป่าตามอนุสัญญา ได้ขออนุญาตพนักงานสอบสวนทำการตัดชิ้นเนื้อเสือทั้งหมด 17 ชิ้น ส่งให้สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช เพื่อตรวจหารหัสพันธุกรรม (DNA)
ต่อมาเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551 มีประชุมร่วมระหว่าง กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจท้องที่ ทหารเรือ เจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และมูลนิธิเพื่อนป่า มีมติให้โอนคดีไปดำเนินการในส่วนกลางโดยให้ บก.ปทส. เป็นเจ้าของเรื่อง และให้ส่งผลการตรวจพิสูจน์ทาง DNA ของซากเสือให้พนักงานสอบสวนได้ จากการติดตามสอบสวนได้จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 นาย คือ นายสมัย พิมทา และนายวัฒนา พ่อค้าช้าง ชาวบ้านตำบลนาแก อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะทั้ง 2 คัน โดยนายสมัย พิมทา เป็นผู้รับจ้างพ่อค้าทางภาคใต้ จำนวนเงิน 50,000 บาท เพื่อขนถ่ายส่งต่อไปยังประเทศลาว และให้นายวัฒนา พ่อค้าช้าง มาช่วยขนอีกคันหนึ่งโดยจ่ายค่าจ้างให้ 3,500 บาท แต่มาถูกจับเสียก่อน
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2551 กองคุ้มครองสัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา ได้ส่งผลการตรวจพิสูจน์เสือของกลางให้กับ บก.ปทส. ผลปรากฏว่า DNA ทั้งหมดเป็นของเสือโคร่งพันธุ์ Indochinese Tiger 4 ตัว Amur Tiger 2 ตัว และ Malayan Tiger 3 ตัว เสือดาวพันธุ์ Punthera pardus 3 ตัว และเสือลายเมฆพันธุ์ Neafefis nebulosa 2 ตัว นำไปสู่การสอบสวนหาแหล่งที่มาของเสือดังกล่าวต่อไป และศาลจังหวัดนครพนมได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2554 ตัดสินความผิด นายสมัย พิมทา และนายวัฒนา พ่อค้าช้าง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง , 20 วรรคหนึ่ง , 23 วรรคหนึ่ง , 47 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2496 มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 คงจำคุกคนละ 1 ปี และปรับร่วมกัน 4,320,000 บาท ไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ เนื่องจากเป็นการกระทำผิดอันเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง