อุทยานแห่งชาติ = สวนสนุกของข้าราชการอวดเบ่ง!!

พรานบรรดาศักดิ์หลงยุคล่าสัตว์ในป่าแก่งกระจาน

พรานบรรดาศักดิ์หลงยุคล่าสัตว์ในป่าแก่งกระจาน

ขอขอบคุณเรื่องและภาพ

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน

หากเป็นทริปล่องเรือชมความงามของธรรมชาติตามปกติคงไม่มีใครว่า แต่นี่คือทริป “ล่องเรือล่าสัตว์ป่าสงวน” ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ขนเหล้า แบกเสบียงเข้าไปอย่างครบครัน พร้อมอาวุธครบมือ ที่น่าตกใจกว่านั้นคือมีรายชื่อนายตำรวจระดับ “สารวัตร” เป็นแกนนำทีม “ล่าเอามัน” ในครั้งนี้ด้วย 
       
       ร่วมกันยิงสัตว์น้อยใหญ่ที่พบเจอทิ้งๆ ขว้างๆ ตามเบี้ยบ้ายรายทางเพื่อสนองความสนุก ที่สำคัญ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของพฤติกรรมไร้สำนึกเช่นนี้ แต่การเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อคลายเครียดของบรรดาคนมีสี มีมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงง่ายๆ เสียด้วย
    

       ข้าราชการ บ้าอำนาจ
       พ.ต.ท.ธีระยุทธ เกตุมั่ง สารวัตรสอบสวน สภ.ปราณบุรี, ศานิต อำนวยเลขา เจ้าหน้าที่ทางหลวงชนบทเพชรบุรี, อรรถวุตต์ ดียิ่ง เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าภูมิภาค จ.เพชรบุรี… ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ารายชื่อข้าราชการจากหลากหลายภาคส่วนทั้งหมดนี้จะถูกจับในฐานะผู้บุกรุกล่าสัตว์ในพื้นที่อุทยาน ร่วมกับชาวบ้าน-พรานนำทาง ที่ถูกพวกเขาว่าจ้างให้สมรู้ร่วมลั่นไกอีก 6 คน 
        
       
       เริ่มตั้งแต่วางแผนเช่าเรือหางยาว 3 ลำ ล่องลักลอบเข้าไปในอุทยาน ไล่ยิง “กระจง” เพื่อสนองความสนุกระหว่างกลุ่มเพื่อน พอน้ำย่อยลงท้องจึงก่อกองไฟ หยิบเอาสัตว์ป่าสงวนตัวดังกล่าวมาสุมไฟแกล้มเหล้าโดยไม่รู้สึกรู้สาถึงความผิด เดินป่าเดินล่าไปตามรายทาง ถึงช่วงพระอาทิตย์ตกของอีกวัน จึงลงมือล่าอีกครั้งโดยจับ “กบทูต” หรือกบภูเขา สัตว์ป่าสงวนอีกชนิด โชคดีที่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าของอุทยานไหวตัวทัน สืบเสาะ-สะกดรอยจนตามจับได้คาหนังคาเขา ระหว่างกำลังเพลิดเพลินอยู่บนพื้นที่รัฐอย่างไม่สนหน้าอิฐหน้าพรหมพร้อมของกลาง ซากกระจงเพศเมีย และกบทูตอีก 100 ตัว 
       
       บวกกับลิสต์อาวุธที่ยาวเป็นหางว่าว ปืนยาวติดกล้องส่องขยายขนาด .22 จำนวน 2 กระบอก, ปืนยาวขนาด .22 ไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก, ปืนลูกซองยาว 2 กระบอก, ปืนลูกซองยาวไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก, ปืนพกสั้นขนาด 11 มม. จำนวน 2 กระบอก, ขนาด 9 มม. 2 กระบอก, เครื่องกระสุนปืนขนาดต่างๆ อีกกว่า 100 นัด และมีดเดินป่าขนาดใหญ่อีก 3 เล่ม 
        
       

อาวุธปืนและอุปกรณ์ที่ใช้ในการล่า


       สร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมมองเห็นชัดเจนว่าช่างเป็นการกระทำที่อุกอาจเสียเหลือเกิน หลายคนมองว่าถ้าไม่ยศใหญ่-เส้นโตจริง คงทำแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ยิ่งมารู้เบื้องหลังว่าทีมล่านี้เข้าบุกรุกล่าสัตว์ในพื้นที่เดิมถึง 2-3 ครั้งแล้ว แต่เจ้าหน้าที่อุทยานยังลงมือไม่ได้ ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ รอคอยให้หลักฐานมัดตัวแน่นหนาอย่างครั้งล่าสุดเสียก่อน จึงตัดสินใจเข้ารวบตัว สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมการใช้เส้นสายและใช้อำนาจในทางมิชอบในสังคมไทยได้อย่างชัดแจ้ง และแน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่บ้านเมืองเรามี “ข้าราชการอวดเบ่ง”แบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว อย่างที่ โรเจอร์ โลหนันทน์ นายกสมาคมพิทักษ์สัตว์ไทย บอกเล่าให้เราฟังจากประสบการณ์
         
       
       “ค่านิยมนี้เปลี่ยนไม่ได้ครับและมันก็ไม่ได้เป็นแค่เมืองไทยด้วย คนที่มีอำนาจ เขาจะชอบแสดงให้คนอื่นเห็น แม้แต่ในกลุ่มของผู้มีอำนาจด้วยกันว่าฉันยังมีอะไรที่ฉันเหนือกว่าคนอื่น ทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ต่อให้เป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลด้วยกันเองก็ยังชอบอวดอำนาจกันเองคนเราเนี่ย เวลามีอำนาจแล้วมักต้องการใช้อำนาจในทางที่ผิด ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทำไมคุณไม่ใช้อำนาจในทางที่ถูก เข้าไปในป่าแล้วจัดการกับพวกที่ไม่ดีในป่าซะ 
       
       ถ้าเป็นพวกเราคนธรรมดา บางคนก็เลือกกิจกรรมปีนเขา เล่นเซิร์ฟ เพื่อผ่อนคลาย แต่ถ้าเป็นคนที่มีสี อยู่ในเครื่องแบบ มีอิทธิพล ไอ้เรื่องพวกนี้เขาเบื่อแล้ว เขาไม่อยากจะทำ เขาอยากจะทำสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้คือการล่าสัตว์สงวน มันท้าทายดี”
         

 โรเจอร์ โลหนันทน์ นายกสมาคมพิทักษ์สัตว์ไทย

       จับได้ เดี๋ยวก็หลุด
       คนที่ได้เห็นข่าวเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ากล้าปะทะ-จับกุมนายตำรวจยศใหญ่ ต่างรู้สึกชื่นชมยินดี มองว่าน่าจะเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู”และน่าจะช่วยให้ข้าราชการยศใหญ่รู้จักหวั่นเกรงระบอบยุติธรรมเสียบ้าง แต่นายกสมาคมพิทักษ์สัตว์ไทยก็ยังคงมอบความคิดในมุมต่างฝากเอาไว้ให้ได้ฉุกคิด เขาบอกว่าส่วนตัวแล้วไม่รู้สึกตื่นเต้นไปกับข่าวคราวที่เกิดขึ้น เพราะมันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
        

ซากกระจงของกลาง


       
       “ผมว่ามันก็จับได้แค่คนพวกนั้นแหละ พูดตรงๆ นะ ผมว่าตัวสารวัตรเอง ช้า-เร็ว เขาก็หลุด อาจจะโดนปรับ 2-3 หมื่น แต่จำคุกคงไม่โดนหรอก เพราะเป็นความผิดครั้งแรก ต่อไปพอมีการเคลื่อนไหว เอกสารพ้นมือไปสู่ระดับอื่นแล้ว มันจะมีการวิ่งเต้นช่วยเหลือกันเองแหละครับ ไม่มีใครเฝ้าคุมระบบได้ทุกครั้งหรอก ผมมองว่าการจับครั้งนี้ไม่มีผลเลย ไม่มีผลต่อขบวนการค้าสัตว์ป่า ไม่มีผลต่อผู้มีอำนาจ 
       
       แม้แต่ข้าราชการที่มีสีมีตำแหน่งและยังชอบพฤติกรรมการล่าเพื่อผ่อนคลายอย่างสารวัตรอยู่ เขาเห็นข่าวนี้ เขาก็ยังทำต่อไป ไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงแต่ต้องระวังมากขึ้นเท่านั้นเอง แต่เขาไม่เลิกหรอก ถ้าจะให้เกิดผลจริงๆ ต้องให้เจ้าหน้าที่ภาคประชาชนเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งขั้นตอนนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องได้รับการอนุมัติจากอธิบดีหรือรัฐมนตรี แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะจะอนุมัติอะไรแต่ละที เขาก็ต้องมองฟ้ามองฝนว่าเพื่อนร่วมพรรคจะว่ายังไง
        
       
       อย่างคุณชัยวัฒน์ (ลิ้มลิขิตอักษร) ซึ่งเป็นหัวหน้าอุทยาน แกนนำการนำจับในครั้งนี้ เราก็เห็นๆ อยู่ว่าเขากล้า แต่เขาก็ต้องกลัวเหมือนกัน ถามว่าทำไมตอนแรกๆ ที่เห็นว่ากลุ่มสารวัตรนี้เข้ามาล่า เขาถึงยังปล่อยให้รอดไปล่ะ ถ้าไม่ใช่ตำรวจนี่ ต่อให้ไม่มีหลักฐานก็ไม่ปล่อย พูดกันตรงๆ เลย แต่ที่เห็นว่าต้องรอเวลา รอหลักฐานแน่นก่อนถึงนำจับ ก็เพราะความเป็นผู้ใหญ่ เพราะยศสารวัตร 
        
       แล้วต่อให้ตอนนี้เขาจับได้ อย่าลืมว่านายของสารวัตรเขาก็มีอยู่ นายของสารวัตรเขาก็รู้จักกับนายของคุณชัยวัฒน์ ตอนนี้คุณชัยวัฒน์อาจจะดูเป็นฮีโร่ แต่สื่อจะปกป้องเขาได้นานแค่ไหนล่ะ พอจังหวะสื่อเงียบ ทุกคนเลิกสนใจ เขาก็อาจจะโดนย้าย ผมถึงอยากบอกว่ามันหาคนกล้าอย่างเขาได้ยากก็จริง แต่ระบบมันไม่เอื้อ ช้าเร็วสุดท้าย เขาก็จะโดน
        
       
       ผมจะไม่บอกคุณชัยวัฒน์หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรอกว่า ไม่ต้องกลัวนะ คุณทำความดี ความดีต้องคุ้มครอง เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น (ยิ้ม) ยุคนี้ คนดีทำดีจะเดือดร้อน ไม่ช้าก็เร็ว ผมจะบอกนักอนุรักษ์ทั้งหลายแหล่ว่าให้ออกมาปกป้องเจ้าหน้าที่ที่เขาทำความดีให้ตลอด” 
        
       

เรือที่ใช้ในการล่าสัตว์


       ถ้าเป็นไปได้ นักอนุรักษ์หลายๆ คนรวมถึงคุณโรเจอร์ก็อยากช่วยเป็นกำลังสำคัญให้เจ้าหน้าที่ที่ดีๆ ต่อสู้กับข้าราชการไร้จิตสำนึก ผู้มีอำนาจในสังคม ให้ได้มากกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ตราบใดที่ภาครัฐไม่เปิดโอกาสให้มูลนิธิเข้าไปช่วยตรวจสอบ “จริงๆ แล้วสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทำเป็นสิ่งที่พวกเรายกย่อง แต่พวกเราอยู่ข้างนอก พวกเราคงปกป้องคุณไม่ได้ เราได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้เข้าไปเคียงข้าง อยู่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ ต่อไปคุณจะได้ไม่ต้องลังเลหรือกลัวว่าจะมีผลกระทบอะไรในอนาคต”
         
       
       “เรื่องนี้ปัญหามันอยู่ที่ระบบจริงๆ ครับ ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เป็นเพราะขาดองค์ประกอบอย่างเดียวเท่านั้นคือ “ขาดความจริงใจ” เราไม่อยากจะจัดการ เพราะจัดการแล้วก็ไม่รู้ไปเหยียบเท้าใครบ้าง อาจจะทำให้เขาเอาเท้าอีกข้างที่เหลือมากระทืบหัวเรา (หัวเราะ) นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นอะไรแบบนี้ และเราก็รู้ว่ามันจะลงเอยยังไง แต่ก็โอเคครับ ทำไป จับไป ผมมองว่าการปฏิบัติการครั้งนี้เป็นแค่น้ำกระเพื่อม ไม่ได้เป็นผลให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์การลักลอบค้าสัตว์ในไทยได้ ตราบใดที่เรายังไม่เปลี่ยนวิธีการทำงาน
         
       ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่ที่มีใจอนุรักษ์อยู่จริงๆ ก็มีอยู่เยอะนะครับ เพียงแต่เขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะไปห้ามคนที่มีอำนาจมากกว่า ถ้าเราเข้าไปอยู่กับเขา มีภาคเอกชนเข้าไปช่วยตรวจสอบ ก็จะกลายเป็นเกราะกำบังให้เจ้าหน้าที่ดีๆ ที่รอที่จะฟ้องคนเลว ไม่งั้นเขาก็ไม่มีเกราะ เขาฟ้องนายไม่ได้ ในขณะที่เราก็มีเขาเป็นเกราะเหมือนกัน เพราะถ้าเดินดุ่มๆ เข้าไปเย้วๆ เป็นนักอนุรักษ์บอกห้ามล่าสัตว์นะ เดี๋ยวก็โดนยิงตายกลางป่า-ข้างถนน แต่ถ้าทำงานร่วมกันแล้ว มันจะเสริมกันตรงจุดที่อ่อนได้ แต่ปัญหาคือไม่มีใครอนุมัติให้เราทำไง” 
          

 “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

       อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
       ย้อนกลับมาถาม “ฮีโร่” ในสายตาใครๆ ในวินาทีนี้อย่าง “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ดูบ้าง ถ้าประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอย การทำนายจากประสบการณ์ของนายกสมาคมพิทักษ์สัตว์ไทยเป็นจริง นั่นแสดงว่าหลังจากคดีนี้เริ่มเงียบไป คุณชัยวัฒน์อาจกลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย ถูกย้ายไปโดยไม่รู้ตัวจากการนำจับในครั้งนี้ ดูง่ายๆ แม้กระทั่งตอนนี้เขายังโดนหางเลขว่ามีความผิด อาจถูกฟ้องในข้อกล่าวหาว่า “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” เนื่องจากตอนจับกุมทีมล่าเอามันส่งตำรวจนั้น ไม่มีรายชื่อ “พ.ต.ท.ธีระยุทธ เกตุมั่ง” สารวัตรสอบสวน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแกนนำ อยู่ในโผผู้ต้องหา 
        
       
       หัวหน้าอุทยานแห่งชาติฯ จึงโต้กลับด้วยอาการตัดพ้อเล็กๆ ว่าตนทำดีที่สุดแล้ว หลังจากพบหลักฐานชัดเจนจากภาพถ่ายและภาพวีดีโอในภายหลังก็ได้เข้าดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษตามขั้นตอนทุกประการ ไม่เข้าใจว่าถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตรงไหน “ถ้าเราไม่รัดกุม สารวัตรคนนั้นเขาฟ้องกลับพวกเรา แล้วใครรับผิดชอบ” 
        
       
       “เจ้าหน้าที่ของเราทำงานเพื่อรัฐอยู่แล้ว แต่เวลาเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ถามว่ารัฐมารับผิดชอบอะไรไหม ไม่มีหรอกครับ ดูง่ายๆ ตำรวจ-ทหารตระเวนชายแดน ทำเพื่อด้ามขวานของประเทศไทยนะ แต่พอตาย เขาตายอยู่คนเดียว มีแค่ครอบครัวของเขาเดือดร้อน หรืออย่างผมเอง ผมก็จ้องจับมานานแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่าใครเป็นตำรวจ ผมไม่สนใจอยู่แล้วว่าใครเป็นใคร พอผมจับได้ปุ๊บ ผมรู้ว่าเขาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผมไม่คุยเลย ไม่เจรจาอะไรทั้งนั้น ไม่พูดไม่ถามว่าใครเป็นใคร 
        
       
       พวกเราเองทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ทำเพื่อประเทศชาติ แต่เวลาตาย เราตายคนเดียวกับครอบครัวของเรา และเวลาเราจับเขา เราจับเขาเพื่อยื่นเรื่องดำเนินคดีต่อเขา ให้รัฐได้รับประโยชน์ แต่ถ้าเขาไม่ผิดขึ้นมา หลักฐานไม่เพียงพอ เขาฟ้องกลับเรามา ผมนะที่ต้องตายกับครอบครัวผม”
       ถึงจะตัดพ้อต่อโชคชะตาเอาไว้อย่างนั้น แต่ความจริงแล้ว ผู้ชายคนนี้กลับไม่เคยท้อแท้ในหน้าที่แม้แต่นิดเดียว ถามกันตรงๆ ว่ากลัวจะถูกย้ายบ้างหรือเปล่า ผู้ถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเอาไว้ว่า 
       “ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ ถามว่าเรารับได้ไหม เรารับไม่ได้หรอกครับ ผมคงรู้สึกเสียใจ แต่ก็มองว่ามันก็เป็นเหมือนละครเรื่องหนึ่งไปแล้วกัน (ยิ้ม) ละครที่มันเคยน้ำเน่ามาตลอด และมันก็คงจะน้ำเน่าอย่างนี้ต่อไป ชีวิตผมก็คงจะน้ำเน่าแบบนี้เหมือนกัน พอถึงเวลาปุ๊บ ไม่มีใครปกป้องก็ถูกย้าย หรือตอบกลับแบบไหนก็ตามเท่าที่คนอยู่ฝ่ายตรงข้ามจะทำได้ 
        
       
       ผมเอง ผมเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อในบารมีพระเจ้าอยู่หัว เชื่อในรุกขเทวดาที่ปกป้องรักษา ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ผมเชื่อว่าในขณะที่ผมต่อสู้ด้วยพลังของตัวผมเอง มันก็มีพลังที่มองไม่เห็นช่วยผลักดันให้ผมทำผลงานสำเร็จได้ทุกครั้ง ผมยังทำงานอยู่ได้เพราะผมมีความสุขกับงานที่ผมทำ และลูกน้องที่อยู่กับผม ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ยอมอยู่กับผม เพราะผมชัดเจนว่าเรื่องคอร์รัปชันไม่ต้องคุยกับผม เงินใต้โต๊ะก็ไม่ต้องมาให้ ผมจะไม่ทุจริตโดยเด็ดขาด 
        
       
       เจ้าหน้าที่ทุกคนยังมีจิตสำนึกในความยั่งยืนและน้อมนำในพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เสมอ เรารักแผ่นดิน เรารักพระเจ้าอยู่หัว สิ่งที่เราทำตอบแทนได้ก็คือรักป่า ถ้ามีคนมาทำลายป่า เราก็ทำหน้าที่รักษาป่า 
       
       ผมชอบพูดให้ลูกน้องฟังเสมอว่า ถ้าคุณอยากทำความดี คุณทำสิ่งนี้แหละ ปกป้องผืนป่า แล้วคุณจะเป็นคนดีของในหลวง ที่ทุกคนชอบพูดว่า “รักในหลวง” นี่แหละคือสิ่งที่เราจะแสดงออกให้ได้อย่างที่พูด งานแบบนี้เสี่ยงอยู่แล้ว เราไม่รู้ต้องตายวันไหน วันนี้ยังหายใจ พรุ่งนี้อาจจะตายแล้วก็ได้ แต่สิ่งที่ผมภูมิใจคือเราทำดีที่สุดแล้ว นอกนั้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”